รูเล็ต มีจุดเริ่มต้นในศตวรรษที่ 17 ในประเทศฝรั่งเศส ชื่อ “Roulette” มาจากภาษาฝรั่งเศสซึ่งแปลว่า “วงล้อเล็ก” นักคณิตศาสตร์ชื่อดังอย่างแบลส ปาสกาล (Blaise Pascal) มีส่วนสำคัญในการพัฒนารูปแบบเกมรูเล็ตในช่วงแรกเริ่ม ต่อมารูเล็ตได้ถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ และแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนในกติกา เช่น การเพิ่มศูนย์ (0) ในรูปแบบรูเล็ตอเมริกัน เพื่อเพิ่มความได้เปรียบของ คาสิโน
แม้รูเล็ตจะเป็นเกมแห่งโชค แต่ก็มีกลยุทธ์ที่สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะได้ เช่น:
กลยุทธ์มาร์ติงเกล (Martingale): เพิ่มเงินเดิมพันเป็นสองเท่าหลังการแพ้ เพื่อกู้คืนเงินที่เสียไป
กลยุทธ์ฟีโบนัชชี (Fibonacci): ใช้ลำดับตัวเลขในการวางเดิมพันเพื่อบริหารความเสี่ยง
กลยุทธ์ดาล็องแบร์ (D’Alembert): เพิ่มหรือลดเงินเดิมพันตามผลการเล่น
เคล็ดลับสำหรับผู้เล่น
เลือกเล่นรูเล็ตยุโรปหากเป็นไปได้: ลดความได้เปรียบของคาสิโน
กำหนดงบประมาณและยึดตามนั้น: เพื่อป้องกันการสูญเสียเกินตัว
ศึกษากฎและรูปแบบการเดิมพัน: เพื่อเพิ่มความเข้าใจและความมั่นใจในการเล่น
รปแบบรูเล็ตที่พบเห็นทั่วไป
รูเล็ตแบบยุโรป (European Roulette): เป็นรูปแบบที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากมีช่องเลขศูนย์เพียงช่องเดียว ทำให้โอกาสในการชนะของผู้เล่นสูงกว่ารูปแบบอื่นๆ วงล้อ รูเล็ต แบบยุโรปมักมีสีสันสดใส และดีไซน์ที่เรียบง่าย
รูเล็ตแบบอเมริกัน (American Roulette): แตกต่างจากรูเล็ตแบบยุโรปตรงที่มีช่องเลขศูนย์สองช่อง (0 และ 00) ทำให้โอกาสในการชนะของเจ้ามือกสูงขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าจะลดโอกาสในการชนะของผู้เล่น แต่ก็ยังคงเป็นที่นิยมในคาสิโนหลายแห่ง
รูเล็ตแบบฝรั่งเศส (French Roulette): มีลักษณะคล้ายกับรูเล็ตแบบยุโรป แต่มีกฎพิเศษที่เรียกว่า “La Partage” และ “En Prison” ซึ่งช่วยลดความเสียเปรียบของผู้เล่นในบางกรณี ทำให้รูเล็ตแบบฝรั่งเศสเป็นที่ชื่นชอบของนักพนันหลายคน